ก่อนปีใหม่เรากระเสือกกระสนไปอิเสะจิงกุมา
ซึ่งคนยังไม่มากเท่าไหร่เพราะมันเป็นช่วงก่อนสิ้นปีนิดนึง เข้าใจว่าคนจะมากกว่านี้ (นิดนึง) ถ้าปีใหม่ไปแล้ว (ซึ่งปีนี้ก็คงไม่มากแหละ เพราะมีโควิด แต่ก็ไม่รู้เหมือนกัน)
เราก็พยายามใส่มาสก์และดิสแทนซิ่งให้มากที่สุดตลอดการเดินทาง
ซึ่งถึงไม่พยายามแม่งก็โคตรจะดิสแทนซิ่งอยู่แล้วเพราะชีวิตตูไม่พบปะใครเลยค่ะ อะไรวะ
เราก็เลือกนั่งรถไฟคินเท็ทซึจากนาโกย่าไปลงที่อิเสะชิ ขานึงราคาประมาณ 1,8xx-1,900 เยน เป็นรถด่วนแต่ไม่ใช่แบบจองที่นั่ง ถ้าจองที่นั่งต้องเพิ่มอีกพันกว่าเยนมั้งรู้สึก (หาข้อมูลเสร็จตัดสินใจเสร็จฉันก็ลบทุกข้อมูลออกจากสมองเลยค่ะ) จากนาโกย่าไปก็สองชั่วโมงบวกลบ แล้วแต่สายรถไฟที่เรานั่ง
จริง ๆ ถ้านั่ง JR ไปเหมือนจะชั่วโมงครึ่งลบ ๆ เองมั้ง แต่ราคาก็บวกไปอีกเท่าลงที่อิเสะชิเหมือนกัน

อันนี้เป็นทางเดินไปอิเสะจิงกุชั้นนอก หรือที่เค้าเรียกกันว่าเกะคุ เดินต่อเนื่องมาจากสถานีรถไฟอิเสะชิได้เลย ฉันก็เดินมาอย่างมึนงงอยู่นิดหน่อย


เดินมาถึงด้านหน้าอิเสะจิงกุเกะคุแล้วค่ะพีเพิ่ล
และตรงด้านหน้าเนี้ยแหละ ตรงแถว ๆ สี่แยกจะมีป้ายรถบัสอยู่ เดี๋ยวเราก็จะมานั่งบัสจากตรงนี้เพื่อไปต่อที่อิเสะจิงกุชั้นในหรือไนคุได้เลย ซึ่งมีหลายสายมากที่ผ่านไนคุ ส่วนตัวแล้วเราซื้อตั๋วรถบัสของเมืองที่ชื่อ machikusa ไว้ มันจะขึ้นรถบัสในเมืองนี้กี่รอบก็ได้ในหนึ่งวัน (หรือสองวัน แล้วแต่เราเลือก) ซึ่งสายรถที่ซัพพอร์ทก็มีหลายสายมาก ๆ แต่อันตัวเรานั้นมึนเมาอะไรซักอย่าง ทำให้เข้าใจผิดว่าตั๋วมันใช้ได้กับ CAN bus อย่างเดียว ซึ่งเป็นสายรถบัสที่ต่อยาวระหว่าง Ise-Futami-Toba ซึ่งเราก็จำเป็นต้องขึ้นสายนี้เหมือนกัน แต่มันไม่จำเป็นสำหรับตอนไปไนคุ!!! แต่กรูมึนเมาเองค่ะ ทำให้เสียเวลารอรถบัสโดยไม่จำเป็น ปวดกบาลกับตัวเอง ตั๋วมันราคา 1,200 แล้วค่ารถของสถานที่ที่เราไปมันก็ประมาณ 4xx ทุกที่ ก็คือถ้าคุณขึ้นอย่างน้อยสามครั้งคุณก็คุ้มละ
มีอย่างนึงที่เราอิมเพรสเล็ก ๆ คือปกติคนที่เคยมาญปหรือคนที่สนใจในญปอาจจะรู้อยู่แล้วว่าเวลาก่อนเข้าวัดหรือศาลเจ้าส่วนใหญ่จะมีบ่อน้ำให้เราเอากระบวยตักล้างมือล้างปากก่อนเข้า แต่ทีนี้เนื่องจากนี่เป็นช่วงโควิด เค้าเลยไม่ใช้กระบวยกันแล้ว แค่มีอารมณ์ประมาณน้ำไหลจากก๊อกหรืออะไรก็ตาม แล้วให้เราล้างมือเฉย ๆ เออรู้สึกว่า มันก็ปรับกันไปได้ดี


เอาจริง ๆ แล้วเราไม่ค่อยได้ถ่ายของในตัวศาลเจ้าเท่าไหร่ เพราะเดินอยู่ด้านในด้วยความสงบเสงี่ยมมาก ต้นไม้ข้างในเยอะมากและใหญ่มาก อยู่ดี ๆ มันก็ทำให้เข้าใจขึ้นมาเองว่าทำไมพระถึงชอบเข้าไปปฏิบัติธรรมในป่า คือมันยังไม่ทันต้องทำอะไรเลยอะ แค่เราเดิน ๆ อยู่ข้างในดี ๆ มันก็เกิดความคิดขึ้นมาแล้วว่าเออ ความเป็นตัวตนของเรานี่มันช่างเล็กมาก เปราะบางมากเลยนะเมื่อเทียบกับธรรมชาติแวดล้อมเหล่านี้ เกิดความปลงในความเป็นตัวตนของตัวเองขึ้นมาง่าย ๆ เลย เดินไปน้ำตาซึมไป สงบจน
จบจากเกะคุเราก็ไปต่อกันที่ไนคุ

เห็นรูปประตูโทริแล้วนึกขึ้นได้ เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้เลยว่าเวลาเดินผ่านเข้าออกประตูแล้วเราต้องทำความเคารพด้วยทั้งขาเข้าขาออก แต่มาที่นี่เห็นทุกคนทำกันหมดเลย เราเลยเพิ่งรู้


อย่างที่รู้กันอยู่ว่าญปเป็นดินแดนที่มีความเกี่ยวข้องกับพระอาทิตย์ในหงายแง่มุม รวมถึงความเชื่อต่าง ๆ ด้วย และอิเสะจิงกุก็ถือว่าเป็นสถานที่ที่คนญปมีความศรัทธาถือเป็นอันดับหนึ่งต้น ๆ เลยก็ว่าได้ จักรพรรดิก็ต้องมาเคารพที่แห่งนี้ รวมถึงที่ศาลเจ้านี้ยังเป็นที่เก็บอุปกรณ์ที่ใช้ในการปราบดาภิเษกอยู่หนึ่งชิ้นด้วยกันอีกด้วย (พีเพิ่ล อย่าด่าหนูถ้าหนูเรียกผิด หนูอ่านมาแล้วหนูก็ลืมคำเฉพาะของมันไปแล้ว หนูไม่ได้รีเสิร์ชซ้ำระหว่างเขียนเอนทรี่ ได้โปรดพีเพิ่ลที่มีความสนใจกรุณาไปรีเสิร์ชซ้ำเองอีกที หรือพีเพิ่ลที่มีความรู้และมีความเมตตาช่วยแก้ไขก็คอมเม้นได้ค่ะ) ศาลเจ้านี้ก็เกี่ยวข้องกับการบูชาดวงอาทิตย์เหมือนกันเนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าของดวงอาทิตย์ (ที่เป็นผู้หญิงนะ ในที่นี้) ผู้ดูแลศาลเจ้านี้ก็เลยเป็นผู้หญิงมาโดยตลอด จริง ๆ เค้าก็มีคำเรียกเฉพาะของเค้าอีก แต่เราจำไม่ได้ -_-; ซึ่งคนที่จะเป็นผู้ดูแลศาลเจ้านี้ได้ก็คือต้องเป็นคนในราชวงศ์เท่านั้นนั่นแหละ


คนไม่ได้มุงอะไรหรอกค่ะ คนแค่จะถ่ายรูปน้ำเฉย ๆ …

เดินอยู่ด้านในอย่างสงบเสงี่ยมมาก
เอาจริง ๆ อารมณ์ต่างจากตอนไปวัดไทยอยู่นะ อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้คนน้อยด้วย
มันให้ความสงบแบบ สงบแบบไม่เคยเจอมาก่อน เราชอบนะ ตอนไปอะซึตะจิงกุก็ให้ความรู้สึกนี้เหมือนกัน รู้สึกว่าดีที่ได้มา
จริง ๆ ตรงหน้าวัดจะมีถนนคนเดินอยู่ ที่จะขายน้ำอาหารกับของต่าง ๆ ก็คือดี
แต่ช่วงนี้เอาตรง ๆ ไม่ค่อยอยากซื้อแล้วถอดหน้ากากยืนหรือเดินกินอะไรเท่าไหร่ ควรไปนั่งกินในร้านไปเลยเป็นเรื่องเป็นราวดีกว่าถ้าจะกิน
หลังจากนั้นข้อยก็เดินทางไป futami เพื่อดู meotoiwa หรือที่เค้าเรียกว่าหินแต่งงานนั่นแหละ
(มันคงแปลมาตรง ๆ จากภาษาญี่ปุ่นเลยด้วย เพราะ meo มันก็แปลว่าคู่สามีภรรยาจริง ๆ ตามตัวคันจิ)
ตัวฉันก็นั่ง CAN bus จากหน้าอิเสะจิงกุไนคุ มาเลยค่ะ เอาตรง ๆ ไม่ต้องกลัวลงผิดป้ายเลย ในรถบัสมันมีประกาศภาษาอังกฤษคู่อยู่ตลอดเวลากับภาษาญี่ปุ่น รวมถึงมีป้ายบอกด้วยว่าป้ายหน้าคืออะไร ทั้ง อังกฤษ จีน เกาหลี ยิ่งไปกว่านั้นมันจะมีป้ายนึงที่ชื่อว่า futami อะไรซักอย่าง ที่ตอนแรกที่เราหาข้อมูลเราก็เข้าใจว่ามันต้องลงป้ายนี้แหละ ซึ่งจริง ๆ ไม่ใช่ มันต้องลงป้ายที่ชื่อว่า meotoiwa ประตูตะวันตกตะวันออก อะไรสักอย่าง.. ซึ่งในรถมันก็ประกาศบอกด้วยว่าอย่าลงป้ายนี้นะโว้ยถ้าจะไปหิน ให้ไปลงป้ายหน้านะจ๊า.. สุดดี

ไปถึงก็คือพระอาทิตย์จะตกดินละ เราขึ้นรถบัสรอบสุดท้ายพอดี ก็คือต้องรีบ ๆ เดินรีบ ๆ ดูมาก
เพราะตอนขากลับก็ต้องนั่งรถบัสรอบสุดท้ายเนี่ยกลับเหมือนกัน



คลื่นก็คือแรงแบบไม่ปราณีใครมาก
มีคนมายืนรอถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกลงตรงกลางระหว่างหินอยู่ประปราย
ส่วนตัวฉันนั้นก็เดิน ๆๆๆๆๆ ให้ครบแล้วก็รีบเดิน ๆๆๆๆๆ กลับป้ายรถบัสเพราะเดี๋ยวตกรถ
จบวันไปแบบ รีบเร่งและหนาวเหน็บตอนยืนรอรถบัสขากลับ
ป.ล. งงกะตัวเอง ตั้งชื่อเอนทรี่ว่าแถว ๆ อิเสะจิงกุ.. แต่เลือกรูปท็อปเป็นหินที่อยู่ที่ฟุตะมิ.. คือไรวะ